
| ชื่อ นายนพพล อาชามาศ ชื่อเล่น นพ อายุ 22 ปี บ้านเกิด จังหวัดลำปาง จบการศึกษาปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ปัจจุบันกำลังรอเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโท |
ถาม: ทำไมถึงตัดสินใจมาค่ายนี้ นพ: ตอนแรกได้รับอีเมล์จากพี่พร (พรพิมล พลพร้อม เจ้าหน้าที่ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี) ได้อ่านรายละเอียดดูแล้วคิดว่าน่าสนใจดี ตอนสมัยเรียนก็เคยเรียนวิชา ที่ใช้ความรุนแรง และการไม่ใช้รุนแรงมาก่อน ก็เลยรู้สึกว่าน่าสนใจดีแล้วช่วงนี้ก็ว่างอยู่ด้วย จึงสมัครมา ถาม: เคยมีพื้นฐานหรือความรู้เกี่ยวกับสันติวิธีมาก่อนหรือเปล่า นพ: เคยมีบ้าง เรียนรัฐศาสตร์ก็เคยมีการเรียนรู้เกี่ยวกับอำนาจ แต่ไม่ได้ลงลึกเรื่องสันติวิธีมากนัก ถาม: เมื่อมาถึงค่ายแล้วเป็นอย่างไรบ้าง นพ: สนุกดี ตอนแรกก็ต้องปรับตัวมากหน่อย เพราะคนค่อนข้างหลากหลาย รู้สึกว่าตัวเองอายุมากกว่าคนอื่น เพราะเพื่อนที่มาค่ายส่วนใหญ่จะอายุน้อยกว่า ก็เลยต้องปรับตัวมากอยู่ แต่ก็ดีตรงที่คนค่อนข้างที่จะหลากหลาย เช่น เรื่องก่อนทานข้าว ตัวแทนจากแต่ละที่จะมีการสวดนำก่อนทานอาหาร จะเห็นว่ามีภาษาที่หลากหลาย มีความเชื่อหลายๆอย่าง เช่นที่มีเณรมาอยู่ร่วมกันกับคนที่นับถือศาสนาอิสลาม มาเป็นเพื่อนกัน ก็รู้สึกแปลกๆดี ไม่ค่อยได้เห็นอะไรแบบนี้ ถาม: แล้วสิ่งที่เราคาดหวังก่อนมาค่ายกับสิ่งที่เราเจอนั้นมันตรงกันไหม หรือมีอะไรที่แปลกออกไป นพ: คาดหวังตอนแรกอยากจะรู้จักตัวเองและคนอื่นมากขึ้น แต่ในด้านเนื้อหาก็ได้ในระดับหนึ่งแต่ว่ายังไม่เต็มร้อย เพราะในเรื่องอำนาจก็เคยเรียนมาแล้วในระดับหนึ่ง แต่อยากได้มากว่านี้ ลึกกว่านี้ แต่ยังไปไม่ถึงเพราะเพื่อนๆคนอื่นอาจจะยังไม่มีพื้นฐาน ถาม: มีเรื่องไหนที่เราเรียนแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจ น่าจะเอาไปใช้ได้ นพ: เรื่องการปฏิบัติการสันติวิธี การชุมนุม ไม่เคยจำลองเหตุการณ์แบบนี้ พอได้เห็นแล้วรู้สึกว่า จริงๆแล้วมีรายละเอียดเยอะ ถ้าเกิดเราไม่รู้มาก่อน แล้วเข้าไปแล้วเราจะทำอะไรไม่ถูก เคยแต่ไปเดินตามม๊อบ ไปสังเกตการณ์ แต่ไม่เคยรู้เกี่ยวกับรายละเอียดแบบนี้มาก่อน พอได้เรียนก็รู้มากขึ้น ถ้าไปม๊อบก็จะได้รู้ว่าต้องทำอย่างไรมากขึ้น ถ้าดูสถานการณ์จริงก็อาจจะรู้ข้อมูลอะไรมากขึ้น เรื่องการสานเสวนา ก็ได้เห็นภาพมากขึ้นจากการที่ได้ลองปฏิบัติจริงๆ แต่ก่อนอาจจะเคยอ่านผ่านๆ แต่ไม่เคยเห็นถึงบรรยากาศจริงๆ ที่สำคัญคือการได้เห็นบรรยากาศจริงๆ เพราะที่เคยเรียนมาจะมีแต่ตัวหนังสือ แม้แต่เรื่องอำนาจเคยเรียนแต่ในหนังสือ แต่ได้มาเห็นบรรยากาศจริง ก็ทำให้ได้รู้สึกและเข้าใจมากขึ้น ถาม: มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นกับตัวเองบ้างจากการมาค่ายครั้งนี้ นพ: ตอนนี้ยังไม่รู้สึกว่าเปลี่ยนเท่าไร แต่รู้สึกว่าอยู่กับคนอื่นได้มากขั้น ปกติเป็นคนชอบอยู่คนเดียวเงียบๆมากกว่า พอได้มาอยู่กับเพื่อน บางครั้งเขาก็เปิดเพลงเสียงดัง ก็ต้องรู้จักวิธีการปรับตัวอยู่กับคนอื่นบ้าง ก็ต้องยอม หรือบางทีก็ไปคุยกับเขาบ้าง บางทีก็ต้องหามุมสงบของตัวเอง อะไรยอมได้ก็ยอม อะไรที่บอกได้ก็ต้องบอก เรื่องความคิด ความเชื่อ ก็ได้รู้อะไรต่างๆมากขึ้น แม้แต่กับเพื่อนอิสลาม เราก็ได้เห็นว่ารายละเอียดของเขาค่อนข้างเยอะ เช่น เรื่องการที่จะเข้าห้องคนอื่นหรือเข้าบ้านคนอื่นได้ขออนุญาตก่อน และต้องมีเจ้าของบ้านหรือเจ้าของห้องอยู่ด้วย อันนี้เราก็ไม่เคยรู้ ถาม: แล้วคิดว่าถ้ากลับจากค่ายไปจะไปทำอะไร นพ: จะไปสำรวจแถวบ้านตัวเอง ให้รู้อะไรมากขึ้น เพราะมาเรียนกรุงเทพ 4-5 ปี ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวแถวบ้าน(ที่จังหวัดลำปาง) จะลองสำรวจดูว่ามีอะไรที่พอรู้ได้บ้าง แต่จะทำอะไรต่อนั้นต้องคิดรายละเอียดอีกที อาจหากิจกรรมทำ ชวนเพื่อนมา คิดว่าน่าจะพอทำได้บ้าง ถาม: สิ่งที่คิดว่าน่าจะปรับปรุงในการจัดค่ายครั้งต่อไปคืออะไร นพ: น่าจะเป็นเรื่องการรับเฉพาะคนที่สมัครใจมา เพราะค่ายนี้มีสมาชิกบางส่วนที่ดูเนือยๆ เหนื่อยๆ ไม่ได้สมัครใจมา ส่วนเรื่องระยะเวลานั้น ในระดับนี้ก็โอเค ไม่คิดว่าสั้นไป หรือ ยาวไป แต่อยากจะได้เนื้อหาที่ลึกกว่านี้ แต่เนื่องจากบางคนที่มาไม่มีพื้นฐาน ทำให้เนื้อหาที่ได้เรียนรู้ไม่ค่อยตรงกับความคาดหวังของตัวเอง
ถาม: มีอะไรอยากจะฝากบอกน้องรุ่นต่อไป หรือ คนอื่นๆ ที่เขาไม่รู้ว่าค่ายนี้คืออะไร หรือคนที่อยากจะมาค่ายนี้บ้างไหม นพ: อยากจะฝากว่าเหตุการณ์เหล่านี้มันมีอยุ่จริง ในโลกเรามันมีความขัดแย้งอยู่จริง เป็นจำนวนมาก แต่คนทั่วไปก็อาจไม่รู้จักหรือไม่เข้าใจมันดีมากนัก จึงมองข้ามไปเลย จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่างมันไม่เกี่ยวกับเรา ทั้งที่เรื่องพวกนี้มันอาจจะใกล้ตัว หลายคนก็พูดถึงสังคมที่สงบสุข สังคมที่มีสันติภาพ จะไปถึงตรงนั้นได้เราก็ต้องเรียนรู้เรื่องความขัดแย้งบ้าง โครงสร้างทางสังคมบ้าง คิดว่าใครสนใจก็น่าจะมา |